วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

xDSL

DSL ย่อมาจาก Digital Subscriber Line คือเทคโนโลยี โมเด็ม ที่ทำให้คู่สายทองแดงธรรมดา ให้กลายเป็นสื่อสัญญาณดิจิตอล ความเร็วสูง โดยใช้เทคนิคการ เข้ารหัสสัญญาณข้อมูล (Modulation) ในย่านความถี่ที่สูงกว่า การใช้งานโทรศัพท์โดยทั่วไป ทำให้เราสามารถ ส่งข้อมูล ในขณะเดียวกับการใช้งานโทรศัพท์ได้ โดยมีเทคโนโลยีใน ตระกูล DSL อยู่หลายเทคโนโลยีเช่น

* HDSL: High bit rate Digital Subscriber Line
* SDSL: Symmetric Digital Subscriber Line
* SDSL: Symmetric Digital Subscriber Line
* IDSL: ISDN Digital Subscriber Line
* ADSL: Asymmetric Digital Subscriber Line
* RADSL: Rate Adaptive Digital Subscriber Line
* VDSL: Very high bit rate Digital Subscriber Line

โดยแต่ละเทคโนโลยีมีคุณสมบัติแตกต่างกันดังนี้ (ดูตารางประกอบ)


Down Up Mode Distance Wire(n) Voice
HDSL 1.5 Mbps 1.5 Mbps Symmetric 3.4 Km 4 No
SDSL 1.5 Mbps 1.5 Mbps Symmetric 3 Km 2 No
IDSL 128 Kbps 128 Kbps Symmetric 4.5 Km 2 No
ADSL 8 Mbps 1 Mbps Asymmetric 5 Km 2 Yes
VDSL 52 Mbps 2.3 Mbps Asymmetric 1 Km 2 Yes





1. ความ เร็วในการรับ (Down) และ ส่ง (Up) ข้อมูล แต่ละเทคโนโลยีจะไม่เท่ากัน
2. Mode ของการรับส่งข้อมูล หากเทคโนโลยีใดมีอัตราความเร็วในการ รับ-ส่ง ข้อมูลเท่ากันจะเรียกว่า Symmetric(ความสมมาตร) หากอัตราความเร็วในการ รับ-ส่ง ข้อมูลไม่เท่ากันจะเรียกว่า Asymmetric(ความสมมาตร) เช่น ADSL มีอัตราเร็วในการรับข้อมูลสูงถึง 8 Mbps และมีอัตราเร็วในการส่งสูงสุดเพียง 1 Mbps แต่โดยทั่วไป เรามักมีการ Download หรือรับข้อมูล มากกว่า Upload หรือส่งข้อมูล ดังนั้น ADSL จึงสามารถรองรับการใช้งานได้เป็นอย่างดี
3. ระยะ ทางที่สามารถ รับ-ส่ง ข้อมูล (Distance) ระยะทางที่สามารถทำงานได้ของ แต่ละเทคโนโลยีจะไม่เท่ากัน โดยที่เทคโนโลยีที่มีความเร็วสูงขึ้น มักจะมีระยะสามารถทำงานได้สั้นลง เช่น VDSL ซึ่งมีความเร็วสูงมากคือ 52 Mbps แต่จะสามารถทำงานได้ในระยะทางไม่เกิน 1 กิโลเมตรเท่านั้น
4. จำนวน สายที่ใช้ (Wire) โดยในช่วงต้นของการพัฒนานั้น HDSL ถูกคิดค้นให้ใช้ถึง 2 คู่สายหรือสายทองแดง 4 เส้น แต่ระยะต่อมาสามารถพัฒนาให้สามารถ รับ-ส่ง ข้อมูลได้บนคู่สายทองแดงเพียง 1 คู่เท่านั้น และยังสามารถมีอัตราความเร็วในการ รับ-ส่ง ข้อมูลสูงขึ้นด้วย
5. ความ สามารถในการใช้โทรศัพท์ระหว่าง รับ-ส่ง ข้อมูล (Voice Service) เทคโนโลยี DSL ที่เกิดขึ้นในระยะหลังจะถูกพัฒนาขึ้น ให้สามารถใช้งาน โทรศัพท์ได้ด้วยระหว่างที่มีการ รับ-ส่ง ข้อมูล เช่น ADSL และ VDSL

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทำไมต้องมี fortigate


ไฟร์วอลล์ไม่วิเคราะห์ Contents จึงพลาด Content Attacks





FireWall ตรวจ STATEFUL


ตรวจ packet headers เท่านั้น -- เช่น ดูที่ packet แต่ไม่เจออะไรอยู่ภายใน


Unified Threat Management (UTM)


สามารถตรวจสอบเนื้อหาได้สมบูรณ์ แต่ใช้อุปกรณ์หลายตัว






Multi - layered Security


โดยมี วิธีการดำเนินการป้องกันเนื้อหา


-Firewall-ป้องกัน ต่อการโจมตี

-Antivirus Gateway- ปกป้อง email จากการติดเชื้อไวรัส

-IPS / IDS-ป้องกัน การโจมตีที่เป็นอันตราย

-Anti SPAM-ลดอีเม ลที่ไม่พึงประสงค์

-Web filters-สามารถบล๊อกเว็บที่เราไม่ต้องการให้เข้าถึงได้

-VPN-มอบความ ปลอดภัยการเข้าถึงระยะไกล


ข้อดีคือ

-มีความปลอดภัยสูง

-ลดความเสี่ยงที่จะเกิด down-time ของอุปกรณ์ขึ้น

ข้อเสีย

-ต้องการอุปกรณ์จำนวนมาก

-เพิ่มความซับซ้อนให้กับระบบเน็ตเวิร์ค

-ไม่สามารถป้องกัน blended threats ได้







FortiGate - A New Generation of Security Platform

ข้อดี

วิธีการ รักษาความปลอดภัยให้ครอบคลุม

ลด down-time จากหลายๆภัยคุกคาม

FortiGate มีโซลูชั่นแบบครบวงจร
-Firewall

-Antivirus

-IPS / IDS

-URL filtering

-Anti-SPAM

-VPN (SSL)


วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

AUI (Attachment Unit Interface)

ทรานซีฟเวอร์ (Transceiver) หรือ AUI (Attachment Unit Interface)


เป็นอุปกรณ์ที่ ทำหน้าที่เชื่อมต่อการสื่อสารของสเตชั่นเข้ากับของเครือข่ายเช่นเดียวกับคอนเนคเตอร์ หรือ อินเตอร์เฟซ ในเครือ ข่าย LAN ทั่วไป ทรานซีฟเวอร์จะอยู่ใน LAN Card แต่ในเครือข่าย LAN บางแบบ EtherNet อาจใช้ ทรานซีฟเวอร์เชื่อมต่อโดยตรงเข้ากับสายสื่อสารของเครือข่าย เพื่อเชื่อมโยงการสื่อสารเข้ากับสเตชั่น ซึ่งถือว่า เป็นการสิ้นเปลืองมากกว่าการใช้คอนเนตเตอร์ธรรมดา ๆ




AUI มีความยาวไม่เกิน 50 เมตร แม้ว่า controller จะสร้างอยู่ใน loop-back แต่ก็มีความยาวซึ่งไม่สามารถแน่ใจได้ว่า controller จะส่งสัญญาณได้ด้วยตัวเอง






โดยลักษณะของ PVC และ Teflon AUI cable จะคล้ายกับ PVC และ Teflon coaxial cable



วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

QoS

Quality-of-Service (QoS)

QoS เป็นตัวกำหนดชุดของคุณสมบัติของประสิทธิภาพของการติดต่อ หรือเรียกว่าเป็นการส่งข้อมูลในเครือข่ายโดยรับประกันว่าการส่งข้อมูลจะเป็นไปตามคุณภาพหรือเงื่อนไขที่ต้องการ เช่น ดีเลย์ แบนด์วิดธ์ การเปลี่ยนแปลงของดีเลย์ (jitter) อัตราการสูญหายของข้อมูล (loss) หลักการทั่วไปของ QoS Routing จึงเป็นการตรวจวัดและควบคุมการไหลของข้อมูลให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยวิธีการพื้นฐานของ QoS มีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ Reservation และ Prioritization
Reservation หลักการคือการรับประกันด้วยวิธีจองทรัพยากรของเครือข่าย ก่อนที่จะเริ่มส่งข้อมูล ทรัพยากรที่จำเป็นต้องจองก็คือ บัฟเฟอร์ , แบนด์วิดธ์ และ ดีเลย์ ในส่วนของการคำนวณนั้นจะเน้นไปที่การหาขนาดของบัฟเฟอร์และแบนด์วิดธ์ที่เหมาะสมที่จะรักษาดีเลย์ระหว่างต้นทางไปยังปลายทางไม่ให้เกินที่กำหนด ในแต่ละ hop สามารถแยกดีเลย์ออกมาได้ 4 ส่วน คือ
1.Queueing Delay คือดีเลย์ที่เกิดจากการรอคิวส่ง สำหรับในเราท์เตอร์นั้น คือ ช่วงเวลาที่ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำสามารถเก็บได้มากหรือน้อยขึ้นกับการจัดคิว และขนาดของคิว ถ้าคิวขนาดใหญ่จะมีโอกาสที่หน่วยความจำจะเก็บข้อมูลได้มากทำให้ค่าเฉลี่ยของดีเลย์สูง ถ้าคิวสั้นค่าเฉลี่ยของดีเลย์จะน้อยกว่าแต่ทำให้อัตรการสูญเสียมีมากขึ้นเนื่องจากแพ็คเกตถูกละทิ้งจากระบบ
2.Processing Delay คือดีเลย์ที่เกิดจากการประมวลผลของเราท์เตอร์ เช่น การ lookup routing table การ load/transfer memory การติดต่อ I/O ระหว่างซีพียู กับ network interface
3.Transmission Delay คือดีเลย์ที่เกิดจากอัตราการส่งข้อมูล ค่านี้จะมีความสัมพันธ์กับแบนด์วิดธ์ ถ้าแบนด์วิดธ์กว้างดีเลย์จะน้อย
4.Propagation Delay คือดีเลย์ของสื่อที่ใช้ส่งข้อมูล เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของสื่อนั้น ๆ
ปัจจุบันมีเฟรมเวิร์กที่ใช้หลักการของ Reservation ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเรียกว่า Integrated Services ซึ่งใช้ Resource Reservation Protocol (RSVP) ในการจองทรัพยากรเครือข่าย เส้นทางของการส่งข้อมูลระหว่างต้นทางไปยังปลายทางจะไม่แตกต่างจากการส่งข้อมูลแบบ Best Effort แต่ Integrated Services สามารถรับประกันได้ว่าดีเลย์ในการส่งจากต้นทางไปถึงปลายทางจะไม่เกินค่า ๆ หนึ่งแน่นอน ยกเว้นกรณีที่เส้นทางมีการเปลี่ยนแปลง ปัญหาใหญ่ของ Integrated Services คือ Scalability เพราะเครือข่ายต้องแบ่งทรัพยากรบางส่วนไปใช้กับ QoS Routing โดยเฉพาะถ้าใช้งาน QoS Routing มาก ทรัพยากรจะหมดไป นอกจากนี้ การจองทรัพยากรด้วย RSVP ไม่ได้กระทำอย่างถาวร จึงต้องมีการส่งแพ็คเกตของ RSVP ไปยังเราท์เตอร์เพื่อรีเฟรชการจองทรัพยากรตลอดเวลา จึงมี processing overhead สูง ปกติแล้ว Integrated Services จึงจำกัดให้ใช้งานเฉพาะใน Autonomous System (AS) เดียวกันเท่านั้น
Prioritization เป็นการจัดลำดับความสำคัญ คือข้อมูลที่มีความสำคัญมากจะได้รับการส่งก่อน หรือให้การเซอร์วิสก่อน การเลือกระดับความสำคัญจะเป็นไปตามชนิดของข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งการส่งข้อมูลที่ต้องการดีเลย์น้อย ๆ จะมีระดับความสำคัญสูง ข้อดีของวิธีการนี้คือ ไม่ต้องมีการจองทรัพยากรของเครือข่าย จึงสามารถใช้งานได้ในวงกว้าง บางครั้งการทำงานแบบ Prioritization จะเรียกว่าเป็น Class-of-Service Routing (CoS Routing) เพราะแพ็คเกตจะถูกแบ่งออกเป็นคลาส หรือระดับความสำคัญ ข้อมูลในคลาสเดียวกันจะมีความสำคัญเท่ากัน ใช้ทรัพยากรทั้งหมดร่วมกัน ซึ่งเป็นข้อเสีย เนื่องจากวิธีนี้ไม่สามารถรับประกันได้แน่นอนว่าการจัดส่งจะเป็นไปตามเงื่อนไข

Queueing Discipline
Priority Queueing เป็นรูปแบบหนึ่งที่ปรับเปลี่ยนมาจาก FIFO คือ เราเตอร์จะสามารถเลือกแพ็คเกตได้จากคิวหลายคิว และ จะมีการกำหนดความสำคัญให้กับแต่ละคิว ซึ่งจะแตกต่างกันไป เราเตอร์จะส่งแพ็คเกตโดยเลือกจากคิวที่มีความสำคัญมากที่สุดเป็นอันดับแรก จากนั้นจะเลือกคิวที่มีความสำคัญรองลงไปตามลำดับ และในแต่ละคิวจะมีการจัดการกับแพ็คเกตในคิวนั้นแบบ FIFO




Class-Based Queueing (CBQ)
CBQ จะมี class ทั้งหมดหลาย class มีการกำหนด default class โดยในแต่ละclass จะมีคิวของมันเองและมีการกำหนดค่าแชร์แบนวิธด์ให้กับแต่ละ class ด้วย โดยที่ class ลูกนั้นสามารถขอยืมใช้แบนวิธด์ของ class พ่อแม่ได้
จากรูป classifier จะจำแนกแพ็คเกตที่มาถึงไปยัง class ที่เหมาะสม โดย estimator จะเป็นตัวตรวจสอบว่า class มีการใช้แบนวิธด์เกินค่าที่กำหนดไว้หรือไม่ ถ้าเกิน estimator จะทำการ กำหนด overlimit ไว้ที่ class นั้นๆ ส่วน scheduler จะพิจารณาแพ็คเกตต่อไปที่จะถูกส่งจาก class อื่นซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความสำคัญและสถานะของ class โดยจะใช้ weighted-round robin scheduling ระหว่าง class ที่มีระดับความสำคัญเท่ากัน





Alternate Queueing (ALTQ)
ALTQ เป็น Queueing Framework ที่อนุญาตให้สามารถใช้กลุ่มของ Queueing Disciplines ได้ เช่น CBQ , RED , and WFQ โดย ALTQ สามารถ Implement ได้บน Free BSD
ALTQ ถูกออกแบบให้สนับสนุนในหลาย ๆ Queueing Disciplines กับองค์ประกอบที่แตก ต่างกัน เช่น Scheduling Strategies, Packet Drop Strategies, Buffer Allocation Sreategies, Multiple Priority Levels, and Non-Work Conserving Queues. ALTQ แต่ละแบบสามารถแชร์กันได้ในบางส่วน เช่น Flow Classification, Packet Handling, and Device Driver Support ดังนั้น เราสามารถที่จะ Implement Queueing Discipline อันใหม่ โดยที่ไม่ต้องจำเป็นต้องรู้รายละเอียดของการ Implement Kernel




แพ็คเกตจะส่งผ่านมายัง ip_output หลังจากนั้นจะถูกเติม ip header แล้วจึงถูกส่งต่อไปที่ if_output ซึ่งทำหน้าที่ enqueue แพ็คเกตเข้าสู่ transmission queue หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ifqueue structure เมื่อ output link ว่างพร้อมที่จะส่งแพ็คเกตได้ แพ็คเกตจะถูก dequeue ออกจาก ifqueue structure โดยฟังก์ชั่น if_start ซึ่ง ALTQ ได้มีการจัดเตรียมฟังก์ชั่น enqueue และฟังก์ชั่น dequeue ทำหน้าที่แทน if_output และ if_start ซึ่งฟังก์ชั่น dequeue และ enqueue นี้จะถูกกำหนดไว้ให้กับ queueing discipline โดยเฉพาะ

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

WLAN

โทโปโลยีของ WLAN

-คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกันโดยที่ติดตั้งเน็ตเวิร์คการ์ดแบบไร้สาย





-เครือข่ายผสมระหว่างเครือข่ายไร้สายกับใช้สาย จุดที่เชื่อมต่อระหว่าง 2 เครือข่ายเรียกว่า แอ็กเซสส์พอยต์



อุปกรณ์เครือข่ายและคอมพิวเตอร์ที่ใช้ช่องสัญญาณเดียวกันในการรับส่งข้อมูลเรียกว่า BSS (Basic Service Set)



WLAN สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีได้หลายประเภท


-Narrow band ใช้คลื่นวิทยุความถี่เดียว ป้องกันคลื่นรบกวนโดยให้ผู้ใช้แต่ละคนใช่คนละความถี่


-Spread Spectrum ใช้ช่วงความถี่กว้างแต่จะแบ่งเป็นช่วงย่อยๆ แล้วส่งสัญญาณโดยใช้ช่องสัญญาณทีละช่อง ประโยชน์คือ

ใช้ช่องความถี่กว้าง ทำให้สัญญาณมีกำลังมาก การรับส่งสัญญาณง่ายขึ้น แบ่งเป็น 4 ประเภท

+FHSS ใช้สัญญาณแบบเนโรว์แบนด์ แต่จะเปลี่ยนความถี่ตามลำดับที่ฝังรับและฝังส่งให้เข้าใจตรงกัน ซึ่งลำดับจะดูเหมือนกับ

แบบสุ่มสำหรับสถานีอื่น

+DSSS ใช้ช่องความถี่ขนาดกว้างในการส่งสัญญาณแต่จะมีวิธีการกู้คืนข้อมูล ด้วยการสร้างบิตเพิ่มเติม เรียกว่าปิปปิ้งโค๊ด

+HR/DSSS คล้าย DSSS แต่จะส่งในอัตราข้อมูลที่สูงกว่า

+OFDM ใช้เทคนิคการมัลติเพล็กซ์ความถี่ในการส่งสัญญาณ

-Infrared ใช้คลื่นอินฟราเรด ในการส่งข้อมูลไม่สามารถเดินทางผ่านวัตถุทึบแสงได้รับส่งสัญญาณได้ไม่ไกล นิยมใช้กับอุปกรณ์

รีโมทคอนโทรลของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

-Laser เปรียบได้กับเครือข่ายที่ใช้สายไฟเบอร์โดยไม่ใช้สายไฟเบอร์ LAN ส่วนใหญ่จะใช้ LED อุปกรณ์ที่ต้องการรับส่งสัญญาณ

จะต้องอยู่ในแนวที่มองเห็นกัน

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

TCP/IP

TCP/IP แบ่งชุดโปโตรคอลออกเป็น 4 ชั้น











1.ชั้นประยกต์ (Application layer)

การทำงานในชั้นนี้จะเป็นการเข้าใช้ทรัพยาการระยะไกล และการแชร์ทรัพยากร มีโปรโตคอลในชั้นนี้ได้แก่

-HTTP ใช้สำหรับการรับส่งไฟล์เว็บเพจ ระหว่างเว็บบราวเซอร์และ เว็บเซิฟเวอร์

-SMTP ใช้สำหรับการรับส่งอีเมลระหว่างเมลเซิฟเวอร์

-POP ใช้สำหรับการดาวน์โหลดอีเมลจากเมลเซิฟเวอร์

-IMAP ใช้สำหรับการดาวน์โหลดอีเมลจากเมลเซิฟเวอร์

-FTP ใช้สำหรับกาถ่ายโอนไฟล์ระหว่างโฮสต์

-Telnet ใช้สำหรับการล๊อกอินเข้างานโฮสต์ระยะไกล

2.ชั้นเชื่อมต่อระหว่างโฮสต์ มี 2 โปรโตคอล

-TCP ใช้การรับส่งข้อมูลแบบคอนเน็กชั่นโอเรียนเต็ด ซึ่งคือการสร้างการเชื่อมต่อก่อนที่จะส่งข้อมูล เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลจะส่ง

ถึงปลายทางอย่างแน่นอน เมื่อส่งข้อมูลเสร็จก็จะยกเลิกการเชื่อมต่อนั้น

-UDP ใช้การรับส่งข้อมูลแบบคอนเน็กชั่นเลสส์ ไม่ต้องมีการเชื่อมต่อก่อนการส่ง ทำให้ส่งข้อมูลได้เร็วแต่มีโอกาสที่ข้อมูลจะไม่

ถึงปลายทาง

3.ชั้นอินเตอร์เนต โปรโตคอลในชั้นนี้จะทำหน้าที่ส่งแพ็กเก็ตข้อมูลให้ถึงปลายทางด้วยเส้นทางที่เหมาะสม มีโปรโตคอลหลัก

คือ IP ในชั้นนี้จะไม่มีการเชื่อมต่อก่อนส่ง โปรโตคอลอื่นๆเช่น

-ICMP ใช้สำหรับการรายงานข้อผิดพลาดในระหว่างการรับส่งแพ็กเก็ต IP

-IGMP ใช้สำหรับการรายงานโฮสต์ที่เป็นสมาชิกในกลุ่มมัลติคาสต์

-ARP ใช้สำหรับการแปลงหมายเลข IP เป็น MAC address

-RARP ทำงานตรงข้ามกับ ARP

4.ชั้นเข้าถึงเครือข่าย (Network Access)

TC/IP ไม่ได้มีการกำหนดมาตรฐานสำหรับชั้นเข้าถึงเครือข่าย อย่างไรก็ตาม TCP/IP สามารถใช้งานเน็ตเวิร์ค ได้หลาย

ประเภท แต่ที่ใช้งานมากที่สุด คือ อีเธอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

อุปกรณ์เครื่อข่าย

ฮับ คือ อุปกร์ที่ใช่เชื่อมต่อกลุ่มคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่รับส่

เฟรมข้อมูลจากพอรืตใดพอร์ตหนึ่ง ไปยังทุกพอร์ต คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับฮับ

จะแชร์แบนด์วิทกัน จึงทำให้ยิ่งมีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับฮับมาก

แบนด์วิทยิ่งน้อยลง

สวิทซ์ ทำหน้าที่คล้าย ฮับ แต่ จะส่งเฟรมที่ได้รับจากพอร์ตต้นทางไปที่พอร์ตปลายทางเท่านั้น

สามารถรับส่งข้อมูลได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้แบนด์วิท ไม่ขึ้นกับจำนวนคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับสวิทซ์

คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะมีแบนด์วิทเท่ากับแบนด์วิทของสวิทซ์

เราท์เตอร์ มีความสามารถเหนือกว่าสวิทซ์ คือ มันจะอ่าน address ของสถานีปลายทาง

ที่สวนหัวของแพ็คเก็ตข้อมูล เพื่อใช้ในการเลือกเส้นทางที่จะส่งแพ็คเก็ตต่อไป ซึ่งใน

เราท์เตอร์จะมีข้อมูลในการจัดเส้นทางให้แพ็คเก็ต เรียกว่า เราท์ติ้งเทเบิ้ล

ข้อมูลในตารางจะเป็นข้อมูลที่ใช้ในการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดไปยังปลายทาง

และยังส่งข้อมูลไปยังโปรโตคอลที่ต่างกันได้ สามารถเชื่อมต่อเครื่อข่าย WAN และเครื่อข่ายที่ใหญ่กว่า เช่น อินเทอร์เนต